หากว่าเอ่ยถึงชุดยูนิฟอร์มโรงเรียน หรือชุดนักเรียนไทย เชื่อได้เลยว่าผู้คนในยุคก่อนหน้านี้ต่างก็ปรารถนาจะสวมใส่กันอย่างยิ่ง เพราะเป็นชุดที่มีเกียรติ และมีศักดิ์ศรี แต่อย่างไรก็ดีเมื่อเวลาผ่านไปการสวมชุดนักเรียนกลับกลายเป็นประเด็นที่ต่างคนต่างก็นำมาเถียงกันและมีเหตุผลเป็นของตนเองว่าสุดท้ายแล้ว ควรจะสวมใส่หรือไม่ อย่างไร เพราะชุดนักเรียนในปัจจุบันมีราคาสูงมากขึ้นเรื่อยๆ การแต่งกายแบบไปรเวท จึงเป็นสิ่งที่หลายๆ คนเรียกร้อง วันนี้ขอพาคุณมาดูข้อมูลน่ารู้ของชุดนักเรียนหรือชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนไปพร้อมๆ กัน
จุดเริ่มต้นของชุดยูนิฟอร์มโรงเรียน
สำหรับชุดยูนิฟอร์มนั้น คือการอยู่ในข้อบังคับอย่างใดอย่างหนึ่ง อันจะทำให้คนที่สวมใส่เสื้อเหล่านี้มีลักษณะเดียวกัน โดยมีความเป็นหมู่คณะ และจัดในกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชุดนักเรียน ชุดทหาร ชุดตำรวจ ชุดพนักงานบริษัท หรือแม้แต่ชุดพ่อครัว ซึ่งสำหรับประเทศไทยนั้น จะเริ่มสวมใส่เครื่องแบบหรือยูนิฟอร์มในสมัยสุโขทัย อยุธยา จนกระทั่งมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นอีกด้วย จนกระทั่งมาถึงรัชกาลที่สี่และห้า ก็มีการปรับปรุงเสื้อราชการ ทำให้กลายเป็นชุดราชปะแตนขึ้นมา โดยที่จะมีที่มาจากคำว่า ราช + แพทเทิร์นนั่นเอง โดยทรงจะเป็นแบบแขกและมีกระดุมหน้า 5 เม็ด โดยด้านล่างก็จะเป็นโจงกระเบนและรองเท้าแบบตะวันตก ซึ่งชุดเครื่องแบบนักเรียนยังสร้างขึ้นมาเพื่อลดความมั่นใจในตัวเองของคนที่สวมใส่ และช่วยกำกับจิตใจในขณะที่สวมใส่ ทำให้รู้ว่าตอนที่กำลังสวมใส่ชุดนี้อยู่ ควรจะทำสิ่งใดและขอบเขตของการทำมีมากหรือน้อยแค่ไหน เป็นการกล่อมเกลาจิตสำนึกว่าคนที่สวมใส่อยู่เป็นเยาวชนในการเล่าเรียน และสวมบทบาทของอนาคตของชาติ
ทำไมนักเรียนต้องใส่ชุดเหมือนๆ กัน
การสวมใส่ชุดเหมือนกันเป็นสิ่งที่นอกจากจะช่วยในการขัดเกลาจิตใจแล้ว ก็ยังช่วยในการประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับพ่อแม่ไม่อยากซื้อชุดส่วนตัวหรือชุดไปรเวท การซื้อชุดไปรเวทอาจจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำได้มากขึ้นกว่าเดิม และทำให้เกิดการเปรียบเทียบในกลุ่มนักเรียนหรือกลุ่มเพื่อนได้ นอกจากนี้ชุดไปรเวทมีหลายต่อหลายยี่ห้อที่ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ยิ่งหากว่าเพื่อนในกลุ่มมีฐานะอาจจะทำให้ตัวเด็กเกิดความกดดันได้
สำหรับใครที่ต้องการให้การเลือกเสื้อไปรเวทก็ดี เสื้อยูนิฟอร์มนักเรียนก็ดีเป็นการเลือกที่คุ้มค่า สามารถไตร่ตรองให้ได้มากที่สุดถึงความคุ้มค่าของการเลือกเสื้อแต่ละแบบ เพื่อให้การเลือกเสื้อเหมาะสมกับลูกของคุณนั่นเอง